สวัสดีครับ วันนี้ขอนำเสนอความรู้สาระสำหรับสาวๆหรือผู้ชายที่ชอบช๊อปปิ้งอย่างผม
เคยสังเกตมั้ยครับว่าเวลาไปช๊อปปิ้งกลับมาแล้ว ลองกลับมานับสิครับว่ามีของสักกี่ชิ้นที่เราซื้อมาเพราะเราชอบจริงๆ
วันนี้ผมเลยไปหาวิธีที่จะทำให้เราช๊อปปิ้งได้ของที่ถูกใจจริง ไม่ใช่ซื้อเพราะโดนยุ โดเจ้าของร้านเชียร์ให้ซื้อ
ลองอ่านกันดูนะครับ แล้วนำไปปฏิบัติด้วยนะครับ
วิธีชอปปิ้ง ให้ถูกใจ(1). ลิสท์รายการสินค้าที่ต้องการก่อนการซื้อ• การไปซื้อของโดยไม่มีรายการ "ของต้องซื้อ" มักจะทำให้เสียเวลาอยู่ที่ร้านนานขึ้น ซื้อของมากขึ้น และจ่ายมากขึ้นด้วย
• ทางที่ดีคือ จดไปก่อนว่า ต้องการอะไร ซื้อของตามรายการ และรีบออกไปก่อนที่รายจ่ายจะ "บานปลาย"
(2). เก็บข้อมูลโปรโมชั่นหรือกิจกรรมของสินค้า• สินค้าตัวไหนที่ใช้เป็นประจำ เราควรจดบันทึกไว้ว่าช่วงไหนเป็นช่วงโปรโมชั่น ช่วงไหนมีแกรนด์เซลล์ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาส ซื้อของในช่วงลดราคา เช่น ห้างสรรพสินค้า บางห้าง จะมีช่วงแกรนด์เซลล์ หรือ สินค้าประเภทเครื่องสำอางจะมีจัดเป็นบิวตี้เซท ในราคาพิเศษช่วงคริสต์มาส เป็นต้น
(3). สะสมคูปองลดราคา • ดู รายการลดราคาสินค้าในโบว์ชัวร์ หรือนิตยสาร ก่อนไปซื้อของ... ถ้าพบรายการสินค้าลดราคา หรือคูปองลดราคา อย่าลืมตัดเก็บ และนำไปเป็นหลักฐานด้วยเสมอ
(4). อย่าด่วนตัดสิน• ซูเปอร์ มาร์เกตมักจะแบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ ประเภท "ถูกทุกวัน กับประเภท "ราคาขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งอาจมองดูหรูกว่าสักหน่อย ทำให้พวกเรามักจะพิพากษา หรือตัดสินไว้ก่อน ว่า "ร้านนี้แพง"
• ซูเปอร์ มาร์เกตประเภท "ถูกทุกวัน มักจะตั้งราคาให้ต่ำหน่อยตลอดปี ทำให้เป็นร้านค้ายอดนิยม ทว่า... ถ้าติดตามข้อมูลข่าวสารดีๆ เช่น หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ร้านค้าที่ดูหรู ก็มีช่วงลดราคาเหมือนกัน และมักจะลดราคาต่ำกว่าร้านประเภท "ถูกทุกวัน" เสียด้วย
(5). หัดสังเกต ตรวจตรา• สินค้า แพงๆ มักจะตั้งไว้ตรงกลาง หรือที่ๆ เดินเข้าไปแล้ว "เตะตา" หรืออยู่ "พบเห็น" ตั้งแต่แรก ของที่ถูกหน่อยหรือแบรนด์ ที่ไม่ดังเท่าไหร่มักจะอยู่บริเวณ "ชายขอบ" หรือ "บริเวณชายแดน" (ขอบนอก) ของร้าน
• เพราะ ฉะนั้นไม่ว่าจะซื้ออะไร... อย่าลืมสำรวจสินค้ากลุ่มเดียวกันให้หมด (ซ้ายสุดจรดขวาสุด) แล้วเปรียบเทียบกันก่อนว่า แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน อย่าเพิ่งซื้อสินค้าชนิดแรกที่ "สบตา" กันพอดี
(6). มองสูง แล้วมองต่ำ • สินค้าที่อยู่ในระดับสายตามักจะต้องเสียค่า "ขึ้นหิ้ง" สูงกว่าสินค้าที่อยู่สูงกว่า หรือต่ำกว่าระดับสายตา
• เวลา ซื้อของ... อย่าลืมมองให้สูงขึ้น (สูงกว่าระดับสายตา) และมองให้ต่ำลง (ต่ำกว่าระดับสายตา) เพราะนั่นอาจทำให้พบสินค้าที่มีคุณภาพดี "ในราคาที่ประหยัดกว่า" ได้
(7). สินค้าขนาดเล็กประหยัดกว่า • สินค้าแพ็ค (pack = ขนาดบรรจุภัณฑ์ ขนาดสินค้า) ใหญ่มักจะประหยัดกว่าแพ็คเล็กก็จริง แต่ก็ไม่เสมอไป
• วิธี ที่ดีคือ ให้พกเครื่องคิดเลข โทรศัพท์มือถือที่มีเครื่องคิดเลขไปด้วย แล้วคำนวณดูว่า แพ็คขนาดใดประหยัดกว่า ซึ่งอาจจะพบว่า ขนาดใหญ่ไม่ได้ประหยัดกว่าเสมอไป
• สินค้า หลายอย่างซื้อทีละน้อยประหยัดกว่า โดยเฉพาะอาหารจานด่วน (ฟาสต์ฟูด) และขนมสำเร็จรูป... เนื่องจากคนเรามีแนวโน้มจะ "กินทีเดียวหมดเลย" แพ็คใหญ่ทำให้อ้วนได้ง่ายกว่า และลดความอ้วนได้ยากกว่าด้วย
(8). ใช้เครดิตการ์ดดีไหม • ร้านค้าหลายแห่งมีสิทธิประโยชน์ให้คนที่ใช้บัตรสมาชิกได้รับส่วนลด หรือสิทธิพิเศษ ซึ่งควรศึกษาดูว่า คุ้มไหม
• คน ที่ "ใช้บัตร (เครดิต)" แล้วคุ้มมักจะเป็นคนที่มีฐานะการเงินมั่นคง (มีเงินเก็บอย่างน้อย 6 เดือนของรายจ่ายประจำ) มีรายได้ประจำสม่ำเสมอ ไม่มีหนี้ และอายุมากกว่า 35 ปี (คนที่อายุเกิน 35 ปีมักจะระมัดระวังเรื่องการเงินมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่านี้)
• คน ที่ "ใช้บัตร (เครดิต)" แล้วขาดทุน หรือพอพกบัตรแล้ว "มือเติบ" ใช้เงินเกินตัว... มักจะขาดคุณสมบัติข้างต้น เป็น "คนรวยใหม่ (nouveau riche)" เช่น เพิ่งถูกลอตเตอรี เพิ่งได้รับมรดก เพิ่งมีฐานะดีขึ้น (เช่น อยู่ๆ ก็ขายที่ดินได้เป็นกอบเป็นกำ ฯลฯ) คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน
(9). หีบห่อสวยหรู ราคาก็หรูตาม
• ผักผลไม้และสินค้าที่ซื้อเป็นชิ้นๆ ใส่ถุงมักจะมีราคาถูกกว่าผักผลไม้ที่ปอกเปลือก หรือบรรจุแพ็คพร้อมกิน
• ทาง ที่ดีคือ ซื้อผลไม้ทั้งผล หรือซื้อผักไปล้างเอง หั่นเองที่บ้าน และที่ไม่ควรลืมคือ ผลไม้ทั้งผลดีกับสุขภาพมากกว่าน้ำผลไม้ เนื่องจากมีเส้นใย (ไฟเบอร์) ที่ช่วยให้อิ่มนาน ไม่หิวง่าย ดูดซับโคเลสเตอรอล ดูดซับสารพิษ และป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
(1o). อย่าซื้อตอนท้องว่าง• คนที่กำลังหิวข้าว หรือหิวน้ำอยู่มีแนวโน้มจะซื้อของกินกลับบ้านมากเกิน วิธีที่ดีคือ กินข้าวและดื่มน้ำให้อิ่มพอประมาณก่อนไปชอป (ซื้อของ)